top of page
Writer's picturetoostrongtobeplain

คู่มือการเลือกวัสดุสำหรับบรรจุภัณฑ์สินค้าส่งออก

Updated: Dec 17, 2024


สำหรับสินค้าส่งออก ความปลอดภัยของสินค้า

เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพราะการขนส่งจะมีหลายขั้นตอน

และต้องใช้เวลานาน รวมถึงการตรวจรับสินค้ามีมาตรฐานสูง



Packaging Design Strong Design



1. เข้าใจลักษณะสินค้าและเส้นทางการขนส่ง

วัสดุที่ใช้สำหรับสินค้าส่งออกต้องคำนึงถึง:

  • ประเภทสินค้า:

    • สินค้าเปราะบาง: เช่น เซรามิกหรือแก้ว ควรใช้วัสดุที่ดูดซับแรงกระแทก

      เช่น โฟม PE, EPE หรือกระดาษลูกฟูกหนา 5 ชั้น

    • สินค้าอาหาร: ควรใช้วัสดุที่ป้องกันความชื้น เช่น พลาสติกเคลือบฟอยล์ หรือฟิล์มหดตัวที่กันอากาศ

    • สินค้าอิเล็กทรอนิกส์: ใช้บรรจุภัณฑ์ป้องกันไฟฟ้าสถิต (ESD Packaging)

  • เส้นทางการขนส่ง:

    • หากเป็นการขนส่งทางเรือ ควรใช้วัสดุที่ทนต่อความชื้นและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ

    • หากขนส่งทางอากาศ น้ำหนักเป็นปัจจัยสำคัญ ควรเลือกวัสดุเบา เช่น พลาสติกหรือกระดาษรีไซเคิล


2. วัสดุสำหรับบรรจุภัณฑ์สินค้าส่งออก

  • กระดาษลูกฟูก (Corrugated Cardboard):

    ใช้สำหรับกล่องบรรจุภัณฑ์ภายนอก เพราะมีความแข็งแรงและรองรับน้ำหนักได้ดี

    • เลือกประเภท:

      • กล่องลูกฟูก 3 ชั้น สำหรับสินค้าเบา

      • กล่องลูกฟูก 5 หรือ 7 ชั้น สำหรับสินค้าหนักหรือเปราะบาง

    • เคลือบกันน้ำ (Water-resistant Coating): เพื่อป้องกันความชื้นในระหว่างการขนส่ง

  • โฟมกันกระแทก (Foam):

    ใช้เสริมภายในกล่องเพื่อลดแรงกระแทก

    • EPE Foam (Expanded Polyethylene): เบา ยืดหยุ่นสูง และไม่ดูดซับความชื้น

    • PU Foam (Polyurethane): ใช้สำหรับสินค้าเปราะบางที่ต้องการการรองรับแรงเฉพาะจุด

  • พลาสติกหดตัว (Shrink Film):

    เหมาะสำหรับการพันสินค้าหลายชิ้นเข้าด้วยกันหรือใช้เป็นชั้นป้องกันน้ำและฝุ่น

  • วัสดุชีวภาพ (Biodegradable Materials):

    เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ยั่งยืน เช่น ฟิล์ม PLA หรือกระดาษคราฟท์รีไซเคิล

  • พาเลท (Pallet):

    สำหรับสินค้าที่ขนส่งในปริมาณมาก ควรเลือกพาเลทไม้ที่ผ่านการรมยา (Fumigation)

    เพื่อป้องกันศัตรูพืชและเป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศนำเข้า

 

3. การเลือกวัสดุที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

  • มาตรฐาน ISPM 15 (สำหรับพาเลทไม้):

    หากใช้พาเลทไม้ ต้องมีการประทับตราแสดงว่าไม้ผ่านการรมยาเพื่อลดความเสี่ยงจากแมลงหรือเชื้อรา

  • วัสดุที่ปราศจากสารเคมีอันตราย (Non-toxic Materials):

    เช่น พลาสติกฟู้ดเกรด (Food-grade Plastic) สำหรับสินค้าอาหาร

  • ป้องกันการติดไฟ (Fire-resistant Materials):

    ใช้สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องจักรที่อาจเกิดความร้อนระหว่างการขนส่ง


4. การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

  • การเสริมขอบและมุม (Edge Protectors):

    ใช้วัสดุเสริมมุมกล่องเพื่อป้องกันแรงกดระหว่างการซ้อนกล่อง

  • เทปกันปลอมแปลง (Tamper-proof Tape):

    ใช้เทปที่แสดงร่องรอยหากมีการเปิดก่อนถึงมือผู้รับ

  • การใช้สารดูดความชื้น (Desiccants):

    ใส่ซองดูดความชื้นในบรรจุภัณฑ์สินค้าอาหารหรืออิเล็กทรอนิกส์

    เพื่อลดความเสี่ยงจากความชื้น


5. ทดสอบและปรับปรุงบรรจุภัณฑ์

  • การทดสอบแรงกระแทก (Drop Test):

    จำลองสถานการณ์การตกหล่นเพื่อประเมินประสิทธิภาพวัสดุ

  • การทดสอบแรงอัด (Compression Test):

    ทดสอบการทนต่อแรงกดเพื่อให้แน่ใจว่ากล่องสามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียหาย

  • การจำลองสภาวะอุณหภูมิ (Temperature Simulation):

    โดยเฉพาะสำหรับสินค้าที่ต้องขนส่งในสภาพอากาศรุนแรง


6. การคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและความยั่งยืน

  • เลือกวัสดุเบา:

    เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง เช่น ใช้ EPE Foam แทน PU Foam

  • วัสดุที่รีไซเคิลได้:

    เช่น กระดาษคราฟท์รีไซเคิล ที่ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์


7. การปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง

ศึกษาข้อกำหนดของประเทศที่นำเข้าสินค้า เช่น:

  • การห้ามใช้พลาสติกบางประเภท

  • มาตรฐานวัสดุปลอดเชื้อ

  • การติดฉลากตามภาษาท้องถิ่นและมาตรฐานที่กำหนด


ตัวอย่างกรณีศึกษา

  • สินค้าอาหารแช่แข็ง:

    ใช้กล่องลูกฟูกเคลือบ PE ภายนอก พร้อมฟิล์มกันน้ำภายใน และใส่เจลเย็น (Gel Packs) เพื่อรักษาอุณหภูมิ

  • สินค้าเซรามิก:

    ใช้ EPE Foam ห่อแยกชิ้นแต่ละชิ้น ใส่ในกล่องลูกฟูก 7 ชั้น พร้อมเสริมขอบด้วยกระดาษแข็ง

  • สินค้าอิเล็กทรอนิกส์:

    ใช้กล่องลูกฟูกเสริมด้วยแผ่นป้องกันไฟฟ้าสถิต (Anti-static Foam) พร้อมสารดูดความชื้น

bottom of page