สำหรับสินค้าส่งออก ความปลอดภัยของสินค้า
เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพราะการขนส่งจะมีหลายขั้นตอน
และต้องใช้เวลานาน รวมถึงการตรวจรับสินค้ามีมาตรฐานสูง
1. เข้าใจลักษณะสินค้าและเส้นทางการขนส่ง
วัสดุที่ใช้สำหรับสินค้าส่งออกต้องคำนึงถึง:
ประเภทสินค้า:
สินค้าเปราะบาง: เช่น เซรามิกหรือแก้ว ควรใช้วัสดุที่ดูดซับแรงกระแทก
เช่น โฟม PE, EPE หรือกระดาษลูกฟูกหนา 5 ชั้น
สินค้าอาหาร: ควรใช้วัสดุที่ป้องกันความชื้น เช่น พลาสติกเคลือบฟอยล์ หรือฟิล์มหดตัวที่กันอากาศ
สินค้าอิเล็กทรอนิกส์: ใช้บรรจุภัณฑ์ป้องกันไฟฟ้าสถิต (ESD Packaging)
เส้นทางการขนส่ง:
หากเป็นการขนส่งทางเรือ ควรใช้วัสดุที่ทนต่อความชื้นและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
หากขนส่งทางอากาศ น้ำหนักเป็นปัจจัยสำคัญ ควรเลือกวัสดุเบา เช่น พลาสติกหรือกระดาษรีไซเคิล
2. วัสดุสำหรับบรรจุภัณฑ์สินค้าส่งออก
กระดาษลูกฟูก (Corrugated Cardboard):
ใช้สำหรับกล่องบรรจุภัณฑ์ภายนอก เพราะมีความแข็งแรงและรองรับน้ำหนักได้ดี
เลือกประเภท:
กล่องลูกฟูก 3 ชั้น สำหรับสินค้าเบา
กล่องลูกฟูก 5 หรือ 7 ชั้น สำหรับสินค้าหนักหรือเปราะบาง
เคลือบกันน้ำ (Water-resistant Coating): เพื่อป้องกันความชื้นในระหว่างการขนส่ง
โฟมกันกระแทก (Foam):
ใช้เสริมภายในกล่องเพื่อลดแรงกระแทก
EPE Foam (Expanded Polyethylene): เบา ยืดหยุ่นสูง และไม่ดูดซับความชื้น
PU Foam (Polyurethane): ใช้สำหรับสินค้าเปราะบางที่ต้องการการรองรับแรงเฉพาะจุด
พลาสติกหดตัว (Shrink Film):
เหมาะสำหรับการพันสินค้าหลายชิ้นเข้าด้วยกันหรือใช้เป็นชั้นป้องกันน้ำและฝุ่น
วัสดุชีวภาพ (Biodegradable Materials):
เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ยั่งยืน เช่น ฟิล์ม PLA หรือกระดาษคราฟท์รีไซเคิล
พาเลท (Pallet):
สำหรับสินค้าที่ขนส่งในปริมาณมาก ควรเลือกพาเลทไม้ที่ผ่านการรมยา (Fumigation)
เพื่อป้องกันศัตรูพืชและเป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศนำเข้า
3. การเลือกวัสดุที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล
มาตรฐาน ISPM 15 (สำหรับพาเลทไม้):
หากใช้พาเลทไม้ ต้องมีการประทับตราแสดงว่าไม้ผ่านการรมยาเพื่อลดความเสี่ยงจากแมลงหรือเชื้อรา
วัสดุที่ปราศจากสารเคมีอันตราย (Non-toxic Materials):
เช่น พลาสติกฟู้ดเกรด (Food-grade Plastic) สำหรับสินค้าอาหาร
ป้องกันการติดไฟ (Fire-resistant Materials):
ใช้สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องจักรที่อาจเกิดความร้อนระหว่างการขนส่ง
4. การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
การเสริมขอบและมุม (Edge Protectors):
ใช้วัสดุเสริมมุมกล่องเพื่อป้องกันแรงกดระหว่างการซ้อนกล่อง
เทปกันปลอมแปลง (Tamper-proof Tape):
ใช้เทปที่แสดงร่องรอยหากมีการเปิดก่อนถึงมือผู้รับ
การใช้สารดูดความชื้น (Desiccants):
ใส่ซองดูดความชื้นในบรรจุภัณฑ์สินค้าอาหารหรืออิเล็กทรอนิกส์
เพื่อลดความเสี่ยงจากความชื้น
5. ทดสอบและปรับปรุงบรรจุภัณฑ์
การทดสอบแรงกระแทก (Drop Test):
จำลองสถานการณ์การตกหล่นเพื่อประเมินประสิทธิภาพวัสดุ
การทดสอบแรงอัด (Compression Test):
ทดสอบการทนต่อแรงกดเพื่อให้แน่ใจว่ากล่องสามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียหาย
การจำลองสภาวะอุณหภูมิ (Temperature Simulation):
โดยเฉพาะสำหรับสินค้าที่ต้องขนส่งในสภาพอากาศรุนแรง
6. การคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและความยั่งยืน
เลือกวัสดุเบา:
เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง เช่น ใช้ EPE Foam แทน PU Foam
วัสดุที่รีไซเคิลได้:
เช่น กระดาษคราฟท์รีไซเคิล ที่ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์
7. การปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง
ศึกษาข้อกำหนดของประเทศที่นำเข้าสินค้า เช่น:
การห้ามใช้พลาสติกบางประเภท
มาตรฐานวัสดุปลอดเชื้อ
การติดฉลากตามภาษาท้องถิ่นและมาตรฐานที่กำหนด
ตัวอย่างกรณีศึกษา
สินค้าอาหารแช่แข็ง:
ใช้กล่องลูกฟูกเคลือบ PE ภายนอก พร้อมฟิล์มกันน้ำภายใน และใส่เจลเย็น (Gel Packs) เพื่อรักษาอุณหภูมิ
สินค้าเซรามิก:
ใช้ EPE Foam ห่อแยกชิ้นแต่ละชิ้น ใส่ในกล่องลูกฟูก 7 ชั้น พร้อมเสริมขอบด้วยกระดาษแข็ง
สินค้าอิเล็กทรอนิกส์:
ใช้กล่องลูกฟูกเสริมด้วยแผ่นป้องกันไฟฟ้าสถิต (Anti-static Foam) พร้อมสารดูดความชื้น